กลุ่มคำและประโยค

                                                  

 กลุ่มคำและประโยค


     สำนักงานเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน

กลุ่มคำ หรือ วลี

          กลุ่มคำ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "วลี" คือ คำตั้งแต่ 2 คำขึ้นไปมาเรียงกัน มีความหมายยังไม่สมบูรณ์ (เป็นเพียงส่วนหนึ่งของประโยค)

 ประโยค

ความหมายของประโยค

          กำชัย ทองหล่อ (2533:407) ให้ความหมายของประโยคว่า “ประโยคคือกลุ่มคำที่มีความเกี่ยวข้องกันเป็นระเบียบและมีเนื้อความครบบริบูรณ์ มีบทประธานและบทกริยาเป็นสำคัญ”
          บรรเทา กิตติศักดิ์ (2536:109) ให้ความหมายของประโยคว่า “ประโยค คือ การนำคำหลายคำมาเรียงกันได้ใจความสมบูรณ์ เป็นใจความที่มีทั้งภาคประธานและภาคแสดง”
          พระยาอุปกิตศิลปสาร (2539:192-193) ให้ความหมายของประโยคว่า “ประโยค คือ ถ้อยคำที่มีเนื้อความครบบริบูรณ์ ประโยคหนึ่ง ๆ แบ่งออกเป็นสองภาค คือ ภาคประธานและภาคแสดง”
          กรมวิชาการ (2545:52) ให้ความหมายของประโยคว่า “ประโยค คือ ช่วงของข้อความช่วงหนึ่งที่มีความอันสมบูรณ์ประกอบด้วยภาคประธานและภาคแสดง”
          เยาวลักษณ์ ชาติสุขศิริเดช (2545 :32) ให้ความหมายของประโยคว่า “คำหลายคำที่นำมาเรียงกัน มีใจความสมบูรณ์ ซึ่งประกอบด้วยภาคประธาน และภาคแสดงว่าใครทำอะไร นั่นคือต้องมีส่วนที่เป็นผู้กระทำและกริยาที่ทำ”
           ราชบัณฑิตยสถาน (2546:665)ให้ความหมายคำว่าประโยคว่า “ประโยค คือ คำพูดหรือข้อความที่ได้ความบริบูรณ์ตอนหนึ่ง ๆ เช่น ประโยคบอกเล่า ประโยคปฏิเสธ ประโยคคำถาม”
          จากการศึกษาความหมายของประโยค ดังกล่าวข้างต้น สรุปได้ว่า ประโยค คือ คำพูด
หรือข้อความที่มีใจความสมบูรณ์ ประกอบด้วยภาคประธานและภาคแสดง ขาดภาคใดภาคหนึ่ง
ไม่ได้จะทำให้ประโยคนั้นไม่สมบูรณ์ เช่น นกบิน นกเป็นภาคประธาน บินเป็นภาคแสดง

ชนิดของประโยค
          กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ(2544 ง :12) แบ่งประโยคตามลักษณะโครงสร้าง            เป็น 3 ชนิดคือ
         1. ประโยคสามัญ หมายถึง ประโยคที่มีข้อความอันบริบูรณ์บรรจุอยู่เพียงหนึ่ง
ข้อความเท่านั้น คือ ประกอบด้วยหนึ่งภาคประธานและหนึ่งภาคแสดง

        2. ประโยครวม หมายถึง ประโยคที่รวมเอาประโยคสามัญตั้งแต่สองประโยคขึ้นไปเข้าไว้ด้วยกัน โดยมีคำสันธานเชื่อมประโยคสามัญเหล่านั้น ประโยครวม แบ่งเป็น 4 ประเภทคือ
           2.1 ประโยคความรวมที่มีเนื้อความคล้อยตามกัน
           2.2 ประโยคความรวมที่มีเนื้อความขัดแย้งกัน
           2.3 ประโยคความรวมที่มีเนื้อความเป็นเหตุเป็นผลกัน
           2.4 ประโยคความรวมที่มีเนื้อความให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง
        3. ประโยคความซ้อน หมายถึง ประโยคซึ่งประกอบด้วยประโยคหลักหรือประโยคสำคัญและมีประโยคย่อยเป็นประโยคสามัญซ้อนอยู่ ประโยคย่อยที่ซ้อนอยู่อาจทำหน้าที่เป็นประธาน บทขยายประธาน กรรม หรือบทขยายกรรมของประโยคหลัก ประโยคย่อยแบ่งเป็น 3 ประเภท คือ
            3.1 ประโยคย่อยที่ทำหน้าที่เหมือนคำนามอาจเป็นบทประธานหรือบทกรรมในประโยคหลัก ประโยคย่อยประเภทนี้ เรียกว่า นามานุประโยค
            3.2 ประโยคย่อยที่ทำหน้าที่ขยายนาม หรือสรรพนามในประโยคหลักจะมีคำประพันธสรรพนาม ที่ ซึ่ง อัน เป็นบทเชื่อมกับประโยคหลัก ประโยคย่อยประเภทนี้ เรียกว่า คุณานุประโยค
            3.3 ประโยคย่อยที่ทำหน้าที่เหมือนคำวิเศษณ์ คือ ขยายคำกริยา หรือคำวิเศษณ์ในประโยคหลัก โดยมีคำสันธานเป็นบทเชื่อมกับประโยคหลัก ประโยคย่อยประเภทนี้ เรียกว่า วิเศษณานุประโยค




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น